วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

3 ราชันย์เทพเจ้าฮินดู

ราชันย์เทพเจ้าฮินดู

ตำนานเทพแห่งศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู



• ศาสนาพราหมณ์มีการนับถือเทพหลายองค์ ได้แก่ พระวิษณุ พระศิวะ และพระพรหม เหตุผลที่สำคัญก็คือเทพเจ้าทั้งหมดมีฤทธานุภาพสามารถบันดาลทุกข์สุขให้กับมนุษย์บนพื้นโลกนั่นเอง

• สำหรับผู้ที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ที่สุดจะมีชื่อเรียกว่า “ลัทธิไศวนิกาย” ส่วนผู้ที่นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ที่สุด มีชื่อเรียกว่า “ลัทธิไวษณพนิกาย” และผู้ที่ให้ความเคารพนับถือเทพเจ้าพร้อมกันทั้ง 3 องค์ มีชื่อเรียกว่า “ตรีมูรติ”
 
 

พระศิวะ (พระอิศวร)

มหาเทพแห่งการทำลายประทานอำนาจเหนือผู้อื่นขจัดภัยพิบัติ ขจัดความเจ็บป่วยและสิ่งเลวร้ายมอบความสำเร็จในทุกการกระทำ
                 
          พระศิวะ (คนไทยเรียกว่า พระอิศวร) เป็นบิดาของ พระพิฆเนศ มีชายาคือ พระแม่อุมาเทวี พระศิวะทรงเป็นมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล หนึ่งใน ตรีมูรติ    หรือ 3 มหาเทพสูงสุดแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ)   พระองค์ทรงประทานพรวิเศษให้แก่ผู้หมั่นกระทำความดี และยึดมั่นในศีลธรรม หากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์แล้วปรารถนาสิ่งวิเศษใดๆ พระองค์ก็จะประทานพรนั้นๆให้ แต่เมื่อได้พรสมปรารถนาแล้ว วันหน้าหากกระทำผิดไปจากความดีงาม ผู้นั้นจะเกิดวิบัติในชีวิต พระศิวะเทพจะเป็นผู้ทำลายทันที!!
             มีความเชื่อกันว่าพระศิวะนั้น สามารถช่วยปัดเป่ารักษาเยียวยาอากาศเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ ได้อย่างมหัศจรรย์นัก!! หากผู้ใดที่เจ็บป่วยหรือต้องการขอพรให้คนในครอบครัวหายเจ็บไข้ได้ป่วย
ถ้ากระทำการบวงสรวงบูชาและขอพรจากพระศิวะ ก็มักปรากฏว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นถูกปัดเป่าให้หายไปได้โดยสิ้นในเร็ววัน


                      พระศิวะ นั้นเป็นเทพที่จะอำนวยพรประทานความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงวัว เลี้ยงม้า หรือเลี้ยงแกะ และอาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรทั้งปวง ก็จะมีความสำเร็จและมีความสมบูรณ์พูนสุข หากบวงสรวงบชาพระศิวะ...
นอกจากบทบาทความสำคัญโดยรวมที่กล่าวมาแล้วนั้น อีกบทบาทหนึ่งที่เด่นชัดแยกออกไป จากบทบาทของการเป็นมหาเทพ ผู้ทรงมีพระมหากรุณา ประทานพรแก่มวลมนุึ์ษย์นั้น พระศิวะยังทรงเป็นเทพแห่งคีตา คือเป็นเทพเจ้าแห่งการดนตรี และการร่ายรำ ระบำฟ้อนอีกด้วย

                      พระศิวะ ผู้เป็นพระเป็นเจ้าแห่งการทำลายล้าง
พระองค์เปี่ยมไปด้วยอำนาจ พระพักตร์ของพระองค์แสดงให้เห็นว่าเป็นทั้งชาย เป็นทั้งหญิง เป็นทั้งผู้ใจดี เป็นทั้งผู้ดุร้าย จากชิ้นฝุ่นธุลี ไปจนถึงภูเขาหิมาลัย จากมดตัวเล็กๆ ไปจนถึงช้างตัวใหญ่ จากมนุษย์ไปจนถึงพระเป็นเจ้า อะไรก็ตามที่เราสามารถเห็นได้นั้น เป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งหมด


พระวิษณุ (พระนารายณ์ )



พระวิษณุและพระแม่ลักษมี ณ เกษียรสมุทร
(ทะเลน้ำนม ที่ประทับแห่งพระวิษณุนารายณ์) 

image from dollsofindia.com
            มหาเทพแห่งการปกปักรักษาประทานความมั่นคง ขจัดโรคภัยทั้งปวงคุ้มครองให้ปลอดภัย มอบความร่ำรวยมั่งมี

            พระวิษณุ ทรงมีเทวานุภาพขจัดเหล่ามารและสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง พระองค์ทรงคุ้มครองทุกสรรพชีวิต ทรงบันดาลอำนาจวาสนาแก่มนุษย์ทุกคนที่ระลึกถึงพระองค์อยู่เสมอ อสูรและเหล่ามารทุกตนล้วนแล้วแต่เกรงกลัวอานุภาพแห่งพระองค์ 

พระวิษณุยังอวตารไปเป็น พระกฤษณะ (มหาเทพผู้ให้กำเนิดคัมภีร์ภควัทคีตา ในมหากาพย์เรื่องมหาภารตะ) 
อวตารไปเป็น พระราม (มหาเทพแห่งความยุติธรรม ในมหากาพย์รามายณะ หรือ รามเกียรติ์)
และ อวตารไปเป็น พระพุทธเจ้า (ก่อให้เกิดศาสนาพุทธในภายหลัง ตามปุราณะของศาสนาพราหมณ์)
พระวิษณุยังอวตารไปเป็นเทพเจ้าองค์อื่นๆ อีกถึง 10 ปาง (หรือ นารายณ์ 10 ปาง) และอวตารมากกว่า 10 ปางในบางปุราณะ เพื่อภารกิจปกป้องโลกมนุษย์จากอสูรชั่วร้าย


           พระวิษณุเทพ มีพระชายาคือ พระแม่ลักษมี พระแม่เจ้าผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ และความผาสุกแก่ผู้ศรัทธา ผู้ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างพระวิษณุ และคอยอวตารไปเป็นชายาพระวิษณุในทุกๆภารกิจ

พระวิษณุ 
เป็นผู้ประทานแสงสว่างส่องกระจายไปยังทุกสากลโลก ทรงล่วงรู้ความเป็นไปทุกอย่าง ทรงล่วงรู้ความนึกคิดภายในจิตใจของสรรพชีวิต ทรงตัดสินปัญหาด้วยสำนึกอันสูงสุดแห่งพระเป็นเจ้า ทรงขจัดบาปและความขัดข้องแก่ผู้ปฏิบัติโยคะและนั่งสมาธิระลึกถึงพระองค์

พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ มักปรากฎให้ประจักษ์ในรูปกายอันงดงามที่สุด ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์สดใส สว่างราวกับทองคำ เรือนร่างประดับด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์อันวิจิตรตระการตา มีความอ่อนโยน ยิ้มแย้มอยู่เสมอ พระองค์โปรดการเอื้อเฟื้อ โปรดการมอบความสุขแก่มวลมนุษย์ พระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งความภูมิฐานและการชนะทุกสิ่ง







พระพรหม

 มหาเทพแห่งการสร้างประทานความรุ่งเรือง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆมอบความสำเร็จและความผาสุข
              
             พระพรหม คือ พระเจ้าผู้สร้าง ผู้ลิขิตความเป็นไปของทุกสรรพสิ่ง เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกคน พระพรหมจึงเป็นผู้รู้ความเคลื่อนไหวของสรรพชีวิต เหตุการณ์สำคัญของโลกล้วนอยู่ในสายตาของพระพรหม พระพรหมคือมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งในสามตรีมูรติ ทรงรับฟังคำอธิษฐานของผู้ศรัทธาเสมอ ผู้บูชาพระพรหมและทำความดี จะได้รับการบันดาลพรให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา

               พระพรหม เป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ ทรงมีอานุภาพในการลิขิตชะตาชีวิต โดยควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎแห่งกรรม พระพรหมจึงเป็นผู้คุ้มครองคนดี และลงโทษผู้กระทำบาป ผู้มีกิเลสตัณหา จะถูกพระพรหมลิขิตให้ชีวิตมีแต่ความลำบากยากเข็ญ ผู้มีจิตใจเอื้ออารีย์ต่อผู้อื่น พระพรหมจะบันดาลให้มีความสุขและสมบูรณ์ในชีวิต การเสียสละต่อส่วนรวมคือการถวายความจงรักภักดีต่อพระพรหม พระพรหมจะบันดาลพรให้ผู้เสียสละนั้นมีแต่ความสุขตลอดกาล


               พระพรหมในศาสนาพุทธ กับ พระพรหมในศาสนาพราหมณ์ นั้นมีรูปกายเหมือนกัน ลักษณะภายนอกเหมือนกัน แต่ไม่ใช่องค์เดียวกัน
พระพรหมของพุทธ คือ คนที่ทำความดี ตั้งมั่นอยู่ใน พรหมวิหาร 4และไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งมนุษย์ทุกคนสามารถเป็นพรหมได้ หากตั้งมั่นอยู่บนความมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา บนสวรรค์จึงมีพระพรหมเป็นล้านๆองค์ พระพรหมที่ชาวไทยรู้จักกันดีได้แก่ ท้าวมหาพรหม หรือ พระพรหมเอราวัณ ณ สี่แยกราชประสงค์ ท้าวพกาพรหม ท้าวกบิลพรหม
พระพรหมของพราหมณ์-ฮินดู คือ ผู้สร้างโลก ซึ่งมีเพียงองค์เดียว แต่เรียกได้หลายพระนาม เช่น พระพรหมมา พระพรหมธาดา ท้าวจตุรมุข ประชาบดี



พระตรีมูรติ



มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล ประทานความสมหวังทุกประการ
           
               ตรีมูรติ มาจากคำว่า ตรี หมายถึงสาม และคำว่า มูรติ หมายถึงรูปแบบ ดังนั้นคำว่า ตรีมูรติ จึงหมายถึง รูปแบบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ประกอบด้วย พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ เป็นหนึ่งในลัทธิที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์ หากมองตามหลักปรัชญาคือ พระผู้สร้าง พระผู้รักษา และพระผู้ทำลาย เปรียบได้กับหลักธรรมที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...

พระพรหม+พระวิษณุ+พระศิวะ = พระทัตตาเตรยะ = พระตรีมูรติ
             การกำเนิด "พระตรีมูรติ" ก็มีกล่าวกันไว้หลายตำแหน่งต่างๆกัน และมักจะเข้าใจว่าพระตรีมูรติเป็นภาครวมทั้งสามพระองค์ในร่างเดียวกัน เรียกว่า ทัตตาเตรยะ(Dattatreya) คำว่า ทัตตา (Datta) หมายถึง การมอบให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ส่วนคำว่า เตรยะ (treya) หมายถึง ผู้เป็นบุตรแห่งฤาษีอัตริหรือเตรยะ อันเป็นอวตารของมหาเทพทั้งสามพระองค์ บ้างก็กล่าวว่าคือองค์พระนารายณ์ สำหรับเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระตรีมูรติความเดิมมีอยู่ว่า....




               

                ครั้งหนึ่งมีฤาษีนามว่า "อณิมาณฑวย" (อะ-นิ-มาน-ดับ-วยะ) กำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญตบะอยู่นั้น ได้มีโจรกลุ่มหนึ่งกำลังหนีเจ้าหน้าที่ผ่านมาทางนั้นพอดี แต่ฤาษีอยู่ในฌานสมาธิจึงไม่ยอมปริปากพูดใดๆ ทำให้เจ้าหน้าที่คิดว่าฤาษีเป็นโจรเสียเอง จึงได้จับตัวมาลงโทษและถูกเจ้าเมืองสั่งประหารชีวิต โดยการเสียบตรีศูลไว้บนยอดเขาแห่งหนึ่งแต่ฤาษีขณะนั้นยังไม่ตายระหว่างนั้น นางศีลวตี ภรรยาที่ซื่อสัตย์ต่อสามีชื่อ "อุครศรวัส" กำลังแบกสามีให้ขี่คอตนเอง และกำลังเดินทางผ่านเขาลูกนั้นพอดีเพื่อจะหานาง อนุสูรยา ซึ่งเป็นเพื่อนรักกัน ประกอบกับวันนั้นมีฝนตกหนักทำให้เดินทางลำบาก สามีที่รักของนางจึงกล่าวโทษฤาษี (อณิมาณฑวย) หาว่าเป็นตัวต้นเหตุทำให้ฝนตก เมื่อฤาษีได้ยินเข้า ก็ไม่พอใจ แม้กำลังจะใกล้ตาย แต่ก็ไม่วายที่จะสาปแช่ง ให้ศีรษะของอุครศรวัสแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงยามใด ที่พระอาทิตย์ขึ้น นางศีลวตีได้ยินคำสาปเข้า ก็ไม่ยอมให้สามีเป็นเช่นนั้น จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้นอีกเลย ซึ่งคำอธิษฐานได้บังเกิดผลทำให้พระอาทิตย์ไม่ขึ้น จึงเดือดร้อนกันไปทั่วทั้งสามโลก ความแจ้งไปยัง พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ แต่ก็ไม่สามารถจะช่วยใดๆได้ เว้นแต่ว่าขอให้นางศีลวตีถอนคำอธิษฐานนั้นเสีย ดังนั้น ทั้งสามพระองค์จึงได้เสด็จไปหานางอนุสูยาก่อน เพื่อให้นางไปขอร้องนางศีลวตีถอนคำอธิษฐานอีกครั้ง ในระหว่างไปพบนางอนุสูยานั้น สามีนางคือ "อรตี" ไม่อยู่บ้าน โดยทำทีว่าขออาหารจากนางอนุสูยา นางยินยอมทำตามที่ร้องขอ แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่านางจะต้องจัดอาหารให้โดยปราศจากอาภรณ์ เหมือนหนีเสือปะจรเข้ เพราะว่าหญิงใดเปลื้องอาภรณ์ต่อหน้าผู้อื่นที่ไม่ใช่สามี ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ซื่อสัตย์ แต่นางไม่อยากผิดคำมั่นสัญญา อีกทั้งคำร้องขอที่แปลกประหลาดนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ซึ่งอาจเป็นกลลวงอะไรสักอย่างได้ เมื่อได้เล็งเห็นเช่นนั้น นางจึงนึกถึงสามี และอธิษฐานที่นางได้กระทำไป ไม่ได้เป็นสิ่งยั่วยวนหรือกามราคะใดๆ เมื่อทั้งสามพระองค์ร้องขอออกมาว่า "โอ้มาตา โปรดให้อาหารแก่เราเถอะ" ประโยคนี้ทำให้นางตัดสินใจคิดเสียว่าทั้งสามพระองค์คือ บุตรของนาง ด้วยความเมตตานางจึงเปลื้องอาภรณ์ออก ทันใดนั้นพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ก็กลับกลายร่างเป็นทารกน้อยทั้งสาม นางอนุสูยาจึงให้น้ำนมและอาหารจนอิ่มหลับไป
เมื่อสามีของนางอนุสูยากลับมาเห็นเข้าและรับทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงได้เข้าไปดูและปลุกขึ้นมาเพื่อชื่นชม แต่แล้วปรากฎว่า ทารกน้อยกลับกลายร่างเป็นพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามดังเดิม พระองค์ทรงสรรเสริญนางที่มีความเมตตา และร้องขอให้นางอนุสูยาไปบอกนางศีลวตี เพื่อขอให้ถอนคำอธิษฐานนั้นเสีย โดยที่สามีนาง (อุครศรวัส) จะไม่ตาย นางศีลวตีเมื่อรับรู้เรื่องราวจึงยินยอมโดยดี ทั้งสามพระองค์จึงตรัสถามนางอนุสูยาว่าต้องการขอพรสิ่งใด นางทูลขอให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ เกิดเป็นบุตรของนางในภายภาคหน้า ทั้งสามพระองค์จึงได้ประทานพรตามคำขอ โดยที่พระนารายณ์เกิดเป็นพระทัตตาเตรยะ พระศิวะเกิดเป็นทุรวาสัส และพระพรหมเกิดเป็นพระจันทร์

            พระตรีมูรติ นั้นเป็นถึงเทพเจ้าที่ ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะมีศักดิ์สูงสุดในศาสนาพราหมณ์เนื่องจากเป็นการรวมกันของมหาเทพที่ยิ่งใหญ่ถึง 3 พระองค์ด้วยกัน คือ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ ลำพังมหาเทพทั้ง 3 นี้ แต่ละพระองค์ ก็ประทานพรแก่ผู้ทำความดีได้ ทุกประการ อยู่แล้ว การที่ทั้ง 3 ท่านได้มารวมพระวรกายกันเป็นหนึ่งเดียว ก็ยิ่งมีอานุภาพประทานพรได้กว้างและลึกยิ่งขึ้น



              ดังนั้นการบูชาเทพตรีมูรติ นั้นจากความเชื่อจึงถือได้ว่า บูชาครั้งเดียวได้ทั้ง  3  พระองค์เลยครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเรื่องราว
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมให้ติดตามบทความต้นฉบัยได้จากลิ้งค์ด้านล่างครับ
Credit :http://www.siamganesh.com 
Sleonheart









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น